วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

เกษตรสหกรณ์เพิ่มพูนกำลังซื้อและแปรรูปยางพารา

นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พูดคุยในระหว่างการตรวจเยี่ยมการรวบรวมและแปรรูปยางพาราของ สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านเขาซก จำกัด ต.เขาซก อ.หนอง

ใหญ่ จ.ชลบุรีโดยใช้เครื่องพ่นยา เมื่อวันก่อนถึงแนวทางและมาตรการของกรมฯ ในการส่งเสริมสนับสนุนให้สหกรณ์มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ด้าน

การจัดการยางพาราว่า

ทางกรมเกษตรกรณ์ ได้ชักนำสนับสนุนและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราตามศักยภาพ และความพร้อมของแต่ละสหกรณ์ เน้นให้มีการผลิตยางคุณภาพ โดยประสาน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสวนยาง สำนักงานตลาดกลางยางพารา ไปให้ความฉลาดในการผลิตยางคุณภาพตาม

มาตรฐาน และสนับสนุนให้โรงงานแปรรูปยางอัดก้อนของสหกรณ์ที่มีอยู่แล้วผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP ส่งเสริมการระดมทุนภายในสหกรณ์ ทั้งทุนเรือนหุ้น และการออมของสมาชิก

ตลอดถึงเสริมสร้างองค์ความรู้การดำเนินธุรกิจยางพาราให้แก่บุคลากรของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เช่น การบริหารจัดการธุรกิจยางพารา การรวบรวมรับซื้อยางพารา การบริการ

การแปรรูปยางพารา ตลอดถึงความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ นโยบาย และวิธีการสหกรณ์เพื่อการบริหารธุรกิจยางพารา เป็นต้น

และในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินแผนการตามแนวทางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 โครงการ คือ 1.แผนสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุน

หมุนเวียนแก่สหกรณ์เพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ให้กับสหกรณ์ทุกชนิด ตลอดถึงกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจ

ชุมชนที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยาง มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่ต้องการจะยื่นขอกู้ตาม

โครงการฯ จำนวน 527 แห่ง เป็นเงิน 5,078.15 ล้านบาท ได้รับอนุมัติจาก ธ.ก.ส. แล้ว 69 แห่ง เป็นเงิน 959.10 ล้านบาทเพื่อซื้อเครื่องมือการเกษตรในราคาที่ถูกลง เช่น เครื่องพ่น

ยาสะพายหลัง ถึงวันวันที่ 28 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมามีการเบิกเงินจาก ธ.ก.ส. แล้ว 52 แห่งเป็นเงิน 376.37 ล้านบาท ส่วนการรวบรวมรับซื้อยางพาราของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน–29 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรรวม 352 แห่งในพื้นที่ 40 จังหวัด รวบรวมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์รวม

70,669.02 ตัน มูลค่า 2,865.59 ล้านบาท

แผนที่ 2 ให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา ภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลง

ทุนในการขยายกำลังผลิต หรือเพิ่มความสามารถการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว หรือนำไปลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา และใช้เป็นเงินทุนหมุน

เวียนในการแปรรูปยางพารา มีสหกรณ์ยื่นความประสงค์ในการขอกู้เงินเพื่อแปรรูปในเบื้องต้น 245 แห่ง และยื่นกู้ตามโครงการฯ จำนวน 200 แห่ง เป็นเงิน 4,421.625 ล้านบาท

“การช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีเครื่องพ่นยาไฟฟ้าฝช้และ มีแหล่งขายยางพาราในระดับพื้นที่ได้มากขึ้นนั้นนับเป็นการช่วยลดต้นทุนการ

ขนส่งระหว่างแหล่งผลิตกับตลาดให้กับเกษตรกร ขณะเดียวกันเกษตรกรก็จะได้รับเงินจากการขายในทันที เป็นการเพิ่มสภาพคล่องของระบบการเงินให้กับวงการผลิตยางพาราที่เห็น

ได้อย่างชัดเจน“ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พูด.

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

เกษตรอินทรีย์ : วิถีทางใหม่ของเกษตรกรไทย

เกษตรอินทรีย์ : วิถีทางใหม่ของเกษตรกรไทย
การทำเกษตรกรรมของไทยมักพบปัญหาการขาดทุนเพราะว่าเครื่องมือการเกษตรราคาสูงขึ้น ซึ่งหนึ่งในเหตุของปัญหานี้เกิดจากรายจ่ายในการจัดซื้อสารเคมีจำนวนมาก มาใช้เพื่อเร่งผลผลิต ถึงกระนั้นก็ตาม หากผลผลิตที่ได้มีราคาถดถอย การขาดทุนก็ยังคงมีอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้น ในช่วงปัจจุบันกระแสการดูแลรักษาสุขภาพของประชากรโลกเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยและไร้สารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้ชาวนาชาวไร่หลายรายจึงคิดหาวิธีการทำเกษตรกรรม แนวใหม่ เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) โดยใช้เครื่องปั่นไฟมือสองเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและได้พืชผลที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยการพยายามประยุกต์ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการใช้ปัจจัยการผลิตภายนอกและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งทำนองการทำเกษตรแนวนี้จะไม่เป็นพิษภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
เกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย
สหภาพเกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Agriculture : IFOM) ให้คำนิยามของเกษตรอินทรีย์ว่าเป็น “ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใยด้วยความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน้นแนวคิดปรับปรุงบำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศการเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอาจลดปัจจัยการผลิตภายนอก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่นปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ และในขณะเดียวกันก็พากเพียรประยุกต์ใช้ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิตและพัฒนาความต้านทานโรคของพืชและสัตว์เลี้ยง” หลักการเกษตรอินทรีย์จึงเป็นหลักการสากลที่สอดคล้องกับประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม ภูมิอากาศและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เนื่องจากก่อให้เกิดผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน มีหลักการของการอยู่ร่วมกันและพึ่งพิงธรรมชาติทั้งบนดินและใต้ดิน ใช้เหตุการผลิตอย่างเห็นคุณค่า และมีการอนุรักษ์ให้อยู่อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบเป็นองค์รวมและความสมดุลที่เกิดจากความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศทั้งระบบ
ภาครัฐและเอกชนไทยเริ่มตื่นตัวที่จะพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยเช่นเครื่องพ่นยา ให้มีคุณภาพและปราศจากสารพิษตกค้าง หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรของไทยเริ่มสังเกตคุณภาพ สินค้าอย่างเข้มงวด เนื่องจากพบว่ามีสารเคมีปนเปื้อน ซึ่งสร้างความฉิบหายให้กับภาคเกษตรอย่างมาก ทางภาครัฐจึงรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแบ่งการผลิตได้เป็น 2 แบบ คือ
1. เกษตรอินทรีย์แบบพื้นบ้าน ผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก และมีการนำผลผลิตบางส่วนไปซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดท้องถิ่น แต่ผลผลิตนี้จะไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
2. เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับประกันมาตรฐาน เป็นการทำการเกษตรเพื่อจำหน่ายผ่านทางระบบตลาด และหากตราประกันมาตรฐานทัดเทียมกับมาตรฐานจากต่างประเทศ จะทำให้ผลผลิตสามารถส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ด้วย เกษตรอินทรีย์ของไทยยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มแรก กลุ่มผู้ทำการเกษตรอินทรีย์ยังมีโควตาจำกัด ผู้ประกอบการและ ผู้ผลิตที่สำคัญได้แก่ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่ทำงานร่วมกับสหกรณ์กรีนเนท จำกัด และมูลนิธิสายใยแผ่นดิน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 55.89 ของเกษตรกรที่ทำการผลิตเกษตรอินทรีย์ และมีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.14 ของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั้งหมดภายในประเทศ เป็นที่สังเกตว่า บริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรสัดส่วนใหญ่ที่เป็นหน่วยงานของภาคเอกชน ซึ่งดำเนินกิจการสินค้าเกษตรเคมีอยู่เดิม เริ่มเข้ามามีบทบาทในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพราะว่าความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยเป็นการผลิตแบบง่ายๆ ไม่ใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยาก ผลผลิตที่ได้ก็เป็นสินค้าพื้นฐาน เช่น ข้าว ผักและผลไม้ ส่วนการแปรรูปสินค้ายังมีน้อย เพราะวัตถุดิบมีปริมาณไม่มาก ยุคปัจจุบันมีผลผลิตที่จำหน่ายออกสู่ตลาดประมาณไม่เกิน 6,000 ตันต่อปี สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้แก่ ข้าว กล้วยหอม หน่อไม้ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว สับประรด ขิง และสมุนไพรอีกหลายชนิด ตลาดเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยยังเป็นตลาดของผู้ผลิตคือ การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีจำนวนน้อย ผู้ผลิตสามารถเป็นผู้กำหนดการตลาดได้ค่อนข้างมาก ราคาผลผลิตก็มีความโน้มเอียงสูงกว่าราคาสินค้าเกษตรทั่วไปประมาณร้อยละ 20-50 การที่ระดับราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีโควตาการผลิตต่ำกว่าความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่เนื่องจากเกษตรอินทรีย์จะต้องมีหลักประกันในเรื่องราคาผลผลิตที่เที่ยงตรง ต่อผู้ผลิต จึงทำให้ต้นทุนการผลิตเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างสูงกว่าการผลิตทั่วไป อย่างไรก็ดีมีการการศึกษาค้นคว้า พบว่า ลูกค้าจะยอมรับราคาผลผลิตที่สูงไม่เกินร้อยละ15-20

เกษตรอินทรีย์ในตลาดโลก
ยุคปัจจุบันสินค้าเกษตรอินทรีย์เช่น ปุ๋ย พ่นยา เครื่องตัดหญ้า ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ทั้งนี้จากผลการตรวจงานของศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ พบว่า ความต้องการสินค้าในปี 2541 สูงถึง 13,000 ล้านดอลลาร์สรอ. และในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สรอ. อัตราการกระจายตัวของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยเฉลี่ยในแต่ละปีสูงถึงร้อยละ 20
ในปี 2546 ราคาการค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 1-2 ของตลาดอาหารทั้งหมด และมีการคาดคะเนว่าส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5-10 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ประเทศที่มีการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างสูงได้แก่ ประเทศในสหภาพยุโรป เป็นพิเศษตลาดเยอรมนี มีมูลค่าถึง 2,800-3,100 ล้านดอลลาร์สรอ. ในขณะที่สวิตเซอร์แลนด์มีสัดส่วนของอาหารเกษตรอินทรีย์ใน ตลาดอาหารสูงสุด คือ ร้อยละ 3.2-3.7 ส่วนอาหารเกษตรอินทรีย์ที่นิยมบริโภคได้แก่ กาแฟ ข้าว ชา ผักและผลไม้
หากว่าขณะนี้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะมีแผนการสนับสนุนการผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ แต่กำลังการผลิตก็ยังไม่สามารถแพร่กระจายตัวได้ทันกับความต้องการ เช่น ฝรั่งเศสที่เป็นประเทศผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มีเขตการผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์เพียงร้อยละ 0.3 ของพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด ส่วนปริมาณการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ของสหราชอาณาจักรมีราคาประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สรอ. ต้องนำเข้าถึงร้อยละ 60-70 ของปริมาณการบริโภคทั้งหมด เพราะเช่นนั้นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าเกษตรจึงหันมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อการค้า ถึงกว่า 100 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยประเทศในแอฟริกา 27 ประเทศ เอเชีย 18 ประเทศ อเมริกาใต้ 25 ประเทศนอกเหนือจากประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ทั้งนี้ประเทศที่กำลังรุดหน้าจะเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าชนิดกาแฟ ข้าว ชา สมุนไพร ผัก และผลไม้ ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทปศุสัตว์และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนมาก

โอกาสใหม่ของเกษตรกรไทย
ถึงแม้ตลาดเกษตรอินทรีย์จัดว่าเป็นตลาดใหม่สำหรับเกษตรกรไทย แต่ด้วยแนวโน้มของตลาดที่เติบใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ จากการที่ลูกค้าต้องการสินค้ามากขึ้น ทั้งนี้เพราะความเอาใจใส่ในด้านสุขภาพ ขณะที่ผู้ผลิตมีจำนวนจำกัด การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ออกสู่ตลาดของเกษตรกรไทยจึงเป็นช่องทางที่สดใสกว่าที่ไทย จะยังคงผลิตสินค้าเกษตรทั่วไปแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือเวียดนาม ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยมาก การปรับเปลี่ยนมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ย่อมจะทำให้ไทยมีลู่ทางส่งออกได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความได้เปรียบทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และ ภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นประเทศผู้สร้างและส่งออกอาหารที่สำคัญ จึงย่อมมีโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพให้เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของ โลกได้ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เพียงใดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้การเกื้อหนุนอย่างจริงจัง เช่น การสร้างความเข้าใจและวิชาความรู้ให้แก่เกษตรกร การให้บริการตรวจสอบรับรองกฏเกณฑ์ที่ได้รับการยินยอมจากต่างประเทศ เป็นต้น จึงนับได้ว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทย ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรและอาหารของประเทศ ในขณะเดียวกันจะช่วยเสริมให้โครงการ Food Safety ของรัฐบาลประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น และมีผลดีต่อเนื่องในด้านคุณภาพชีวิตของเกษตรกรจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเกิดคุณประโยชน์ทางอ้อมต่อสังคมและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

รถขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเคมี วิศวกรรมเคมี มทร.ธัญบุรี โชว์ผลงาน

ทีมนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี เล่าประสบการณ์อันมีค่าในการเข้าร่วมแข่งขันรถขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเคมี พร้อมแสดงศักยภาพบัณฑิตนักปฏิบัติมืออาชีพ

โดยกลุ่มแข่งขันนี้ ประกอบด้วย เอ้ก-กอบชัย ชัยคำ, เต้–ธนาธิป เต็มอุ่น, เฟรม–สุรภาส สิทธิเดช และปอนด์ – รัฐพล ฉายอรุณ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี และมี รศ.ผ่องศรี ศิวราศักดิ์ และ ดร.ธีระวัฒน์ เหมือนศรีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวัสดุ เป็นอาจารย์ผู้แนะนำ ซึ่งล่าสุดคว้ารางวัลรองชนะเลิศ จากการเข้าร่วมแข่งขันรถขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเคมี Chemical Engineering Games ครั้งที่ 14 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ที่ผ่านมา

เอ้ก – กอบชัย ชัยคำ ในฐานะหัวหน้าทีม เปิดอกว่า เมื่อเห็นโจทย์การแข่งขันในการประดิษฐ์และพัฒนารถ โดยพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถจะต้องมาจากพลังงานไฟฟ้าเคมีเท่านั้น หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Chem-E Car (เคม-อี คาร์) ขนาดรถจะต้องไม่เกิน 30 x 40 เซนติเมตร และมีข้อบังคับระยะทางในการขับเคลื่อน 30 เมตร จึงได้ปรึกษากันภายในทีม โดยนำความรู้ที่เรียนมาด้านวิศวกรรมเคมีมาปรับใช้ใช้จริง

“หลังจากระดมสมองร่วมกันในกลุ่ม พร้อมกับนำเสนออาจารย์ผู้แนะนำเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม โดยนำความรู้เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมีและหลักการทำงานของเครื่องปั่นไฟมาเป็นหลักการหลัก ทำหน้าที่เปลี่ยนรูปพลังงานเคมีไปเป็นพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยนำขั้วไฟฟ้า คือ แผ่นทองแดงและแมกนีเซียมจุ่มในสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟตและ กรดซัลฟิวริก ตามลำดับ ซึ่งเป็นขั้วโลหะและเคมีภัณฑ์พื้นฐานหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง ขั้วไฟฟ้าทั้งสองจะทำปฏิกิริยาออกซิเดชันและรีดักชันกับสารละลาย โดยแมกนีเซียมจะแตกตัวให้อิเล็กตรอนได้ดีกว่าทองแดง ทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากขั้วแมกนีเซียมไปสู่ขั้วทองแดง ขั้วแมกนีเซียมจะเป็นขั้วไฟฟ้าลบและมีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า ส่วนขั้วทองแดงจะเป็นขั้วไฟฟ้าบวกและมีศักย์ไฟฟ้าสูง ต่อจากนั้นจะทำให้มีกระแสอิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากขั้วแมกนีเซียมไปสู่ขั้วทองแดง จึงเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น และเมื่อนำไปต่อกับชุดมอเตอร์ความเร็วรอบสูง ขนาด 3 โวลต์ จำนวน 2 ตัว ที่ติดไว้กับล้อทั้งสองข้าง จะทำให้รถเคลื่อนที่ได้ ส่วนโครงสร้างของตัวรถทำจากเศษไม้อัด เพื่อให้มีน้ำหนักเบา สามารถขับเคลื่อนได้ง่าย เงินลงทุนในการผลิตราคาประมาณ 300 บาทต่อคัน” เอ้ก – กอบชัย ชัยคำ บอก

“ในเบื้องหน้าจะทดลองเปลี่ยนชนิดของขั้วโลหะและสารละลายเกลือของโลหะเพื่อให้สามารถประดิษฐ์และพัฒนาให้เกิดกระแสไฟฟ้าจากปฏิกิริยาเคมีได้มากยิ่งขึ้น รถจะได้วิ่งเร็วขึ้น โดยคำนึงถึงความสะดวก สามารถควบคุมการขับเคลื่อนได้ ทั้งนี้ต้องออกแบบตัวรถให้มีน้ำหนักเบา ตัวรถภายนอกจะตกแต่งให้สวยงามและทันสมัย พร้อมทั้งได้นำประสบการณ์ในการแข่งขันมาเป็นบทเรียนในการทดลองและพัฒนาต่อไป ดังนั้น การแข่งขันเคมีคาร์วิศวกรรมเคมีของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจึงเป็นการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเคมีในเชิงสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ทั้งยังเกื้อหนุนความมีศักยภาพบัณฑิตนักปฏิบัติมืออาชีพอีกด้วย ” เต้ – ธนาธิป เต็มอุ่น กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ รถขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเคมี Chem-E Car จะร่วมโชว์ผลงาน ในงานครบรอบวันสถาปนา 40 ปี มทร.ธัญบุรี ภายใต้ทัศนะ “40 ปี ราชมงคลธัญบุรี นวัตกรรมสร้างชาติ สร้างอนาคต” พร้อมด้วยชิ้นงาน นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์อื่น ฯลฯ ระหว่างวันที่ 17 – 20 มกราคม 2558 นี้ เข้าชมฟรีตลอดงาน ข้อมูลเพิ่มเติม โทร.02 549 4990

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเผาหญ้า ขยะ หรือสิ่งอื่นๆ ในที่ดินของตนเอง

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเผาหญ้า ขยะ หรือสิ่งอื่นๆ ในที่ดินของตนเอง
การกำจัดขยะมูลฟอย เครื่องตัดหญ้าหรือสิ่งอันไม่พึงประสงค์ใดๆในที่ดินนั้นของตัวเองนั้น ชาวบ้านหลายๆคนมักนิยมใช้วิธีการใช้เชื้อเพลิงจุดเผาเพราะเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างรวดเร็วและและเสียค่าใช้จ่ายน้อย โดยเฉพาะเกษตรกร เมื่อหมดฤดูการเพาะปลูกแล้ว ก็จะต้องทำการเผาฟางข้าว ต้นหรือซังข้าวโพด หรือเศษไม้ใบหญ้า หรือเปลือกหรือกากของพืช เพื่อเตรียมการทำการเพาะปลูกใหม่ในฤดูกาลต่อไป ซึ่งการกำจัดเศษซากพืชหรือขยะด้วยวิธีนี้ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาปัญหาโลกร้อนแล้ว ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงเนื่องจากกลุ่มควันและฝุ่นละอองจากขี้เถ้า และยังอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปยังที่ดินข้างเคียงอีกด้วย ซึ่งการกระทำเหล่านี้มีกฎหมายอัตราโทษไว้ ตามระดับของความร้ายแรงแห่งการกระทำ ดังนี้
1.หากการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่อาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น กล่าวคือ ยังไม่ถึงขั้นที่จะน่ากลัวว่าไฟนั้นจะลุกลามไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่น เป็นแต่เพียงก่อให้เกิด กลิ่น แสง สี เสียง รังสี ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แก่ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง เช่นมีฝุ่นควันลอยและเศษขี้เถ้าไปเข้าไปเข้าบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านได้รับความเดือดร้อนรำคาญ เช่นนี้ ตามกฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งห้ามเป็นหนังสือให้ผู้เจ้าของที่ดินผู้เผาหยุดกระทำการดังกล่าวได้ และยังสามารถกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันเหตุรำคาญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่นห้ามมิให้ทำการเผาอีกต่อไป และหากเจ้าของที่ดินผู้เผายังฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก็จะมีความผิดอาญา โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 25 ,26,28,74 )
2.หากการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น มีความรุนแรงถึงขั้นที่ “น่าจะ” เป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น เช่น จุดไฟแล้วไม่ดูแล ปล่อยให้ไฟลุกลามจนเพื่อนบ้านต้องเรียกรถดับเพลิงมาดับไฟ เพราะไฟใกล้จะไหม้ถึงบ้านเพื่อนบ้าน เช่นนี้เจ้าของที่ดินผู้เผาจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 220 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ทั้งนี้โดยที่ไม่ต้องเกิดเพลิงไหม้หรือความเสียหายขึ้นจริงๆเลย เพียงแต่น่าจะเกิดก็เป็นความผิดตามมาตรา 220 แล้ว และหากเกิดอันตรายขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นจริงๆ ผู้กระทำก็ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 218 หรือมาตรา 224 แล้วแต่กรณีซึ่งมีระวางโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ยกเว้นหากทรัพย์สินที่เกิดเพลิงใหม้หรืออาจจะเกิดเพลิงใหม้นั้นมีราคาเล็กน้อย ผู้กระทำก็จะได้รับโทษเบาลงตามมาตรา 223
3.หากลักษณะการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่า ลักษณะการจุดไฟเผาของตนอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้อย่างแน่นอน เช่นจุดไฟในลักษณะที่ใกล้เคียงกับบ้านหรือทรัพย์สินของคนอื่นอย่างมาก ในช่วงที่ลมแรง เช่นนี้ผู้กระทำผิดย่อมมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217-218 แล้วแต่กรณี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึงประหารชีวิต
รูปประกอบ เคสฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องการเผาหญ้าในที่ดินข้างเคียคดีล่าสุด ของสำนักงานฯ ที่ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
cr.สำนักงานพิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

ไทย-มาเลย์ เล็งผุดคณะทำงานร่วมแก้น้ำท่วม


มื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ  นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เข้าพบหารือและรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เดินทางเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนตัว โดยผู้นำทั้ง 2  ประเทศ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นการทั่วไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซีย และพัฒนาการในภูมิภาค รวมทั้งได้หารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้ทั้ง 2 ฝ่าย จัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อช่วยเหลือกัน เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ ต่างประสบปัญหาน้ำท่วม ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมีความพร้อมที่จะเข้าไปแนะนำ และช่วยเหลือมาเลเซียในเรื่องการจัดการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยและการใช้ปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำ เนื่องจากมีประสบการณ์จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในไทย เมื่อปี 2554 ขณะที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ขอบคุณฝ่ายไทยสำหรับความช่วยเหลือแก่มาเลเซีย เพื่อบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยในรูปแบบต่างๆ อาทิ การมอบข้าวจากรัฐบาลไทย จำนวน 500 ตัน สิ่งของจำเป็นจากมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก และสภากาชาดไทย และสิ่งของอุปโภคบริโภคจากจังหวัดนราธิวาสอีกจำนวนหนึ่ง.