วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การเตรีมพื้นที่ เพื่อปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์

การเตรีมพื้นที่ เพื่อปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์
การปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์ คือการปลูกผักและไม้ผลที่มีระบบการผลิต การใช้เครื่องพ่นยาสะพายหลัง ควรไตร่ตรองถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมดุลธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี หรือสารกำจัดศัตรูพืชต่างๆโดยหันกลับมาใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ไถกลบเศษพืช และปุ๋ยชีวภาพในการซ่อมแซมบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ผักและไม้ผลมีความแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

ข้อแนะนำการผลิตปุ๋ยคอก โดยใช้สารเร่งจุลินทรีย์
พด.1 มีส่วนผสมในการผลิต คือ 1) มูลไก่ 300 กิโลกรัม 2) รำข้าวละเอียด 30 กิโลกรัม
3) สารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 1 ซอง (100 กรัม) และ
4) ฟางข้าว เพื่อใช้สำหรับคลุมกองปุ๋ยหมัก

ขั้นตอนการทำปุ๋ยคอก ผสมมูลไก่ รำละเอียด และสารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 ให้เข้ากัน รดน้ำปรับความชื้น ประมาณ 60% ทำการตั้งกองปุ๋ยคอกให้สูง ประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วนำฟางข้าวมาคลุมกองปุ๋ยคอกไว้ เพื่อรักษาความชื้นและธาตุอาหารในกองปุ๋ยหมัก ในระหว่างการหมักไม่ต้องกลับกองปุ๋ยคอก ปล่อยให้เกิดการย่อยสลายเป็นเวลา 7 วัน จึงนำไปใช้ในการปลูกพืชได้

กระบวนใช้ปุ๋ยคอก ให้เตรียมแปลงเพาะกล้า โดยใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1 ตัน/ไร่ และช่วงการเจริญเติบโตของพืช ให้ใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1 ตัน/ไร่ โดยใช้เครื่องปั่นไฟ

กระบวนการผลิตน้ำหมักชีวภาพ จากไข่ไก่ โดยใช้สารเร่ง พด.2 มีส่วนผสมในการผลิต คือ 1) ไข่ไก่ (รวมเปลือก) ซึ่งปั่นให้ละเอียด 50 ฟอง 2) ตับ 3 กิโลกรัม 3) กากน้ำตาล 3 กิโลกรัม 4) สารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 1 ซอง (25 กรัม) และ 5) น้ำ 20 ลิตร

ข้อแนะนำวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ นำไข่ไก่ที่ปั่นละเอียด ตับ และกากน้ำตาลลงในถังหมักผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทำการละลายสารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 จำนวน 1 ซอง ผสมในน้ำ คนให้เข้ากันนาน 5 นาที จากนั้นเทลงในส่วนผสมของไข่ไก่และตับ แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง พร้อมกับเติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร จากนั้นปิดฝาไม่ต้องสนิท และตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม 20 วัน (จนไม่ปรากฏฟอง)

วิธีใช้น้ำหมักชีวภาพ
1.ก่อนระยะการเก็บเกี่ยวพืชผักและไม้ผล ควรฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ ทุก 7 วัน หรือรดลงในดินบริเวณโคนต้นไม้ผล เช่น มะละกอ และชมพู่

2.ในการปลูกถั่วฝักยาว จะใช้น้ำหมักชีวภาพ ที่ประกอบด้วยไข่ไก่และปลาหมัก ที่เจือจาง 1:1,000 ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน ซึ่งน้ำหมักชีวภาพจากไข่ จะช่วยเร่งการออกดอกผลได้ดี เนื่องจากมีฮอร์โมนจิบเบอเรลลินสูง

การแก้ไขวัชพืช ต้องปล่อยให้วัชพืชสูงจนออกดอก แต่ยังไม่มีเมล็ด ถ้าปลูกปอเทืองด้วย ให้ไถกลบเมื่อปอเทืองออกดอก ทำการตัดต้นวัชพืชตรงบริเวณโคนต้นพร้อมกับต้นปอเทือง ด้วยเครื่องตัดหญ้า จากนั้นใช้รถไถทำการไถกลบลงดิน ตามด้วยใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 1 ตันต่อไร่ แล้วจึงไถพรวนอีกครั้ง ฉีดน้ำหมักชีวภาพ เจือจาง 1:200 พ่นให้ทั่วแปลง หมักทิ้งไว้ ถ้าให้น้ำ 2-3 วัน จะสามารถทำการปลูกพืชได้ ทำการใส่ปุ๋ยหมัก 1 ตันต่อไร่ ในช่วงก่อนปลูกพืช และช่วงระหว่างการเจริญเติบโตของพืช

ที่เสนอมาแล้ว นักวิชาการของกรมพัฒนาที่ดิน ได้แนะนำตัววิธีทำเกษตรอินทรีย์ ให้กับเกษตรกร และแจกจ่ายสารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 และ พด.2 ทั่วประเทศ ไปรับได้ที่สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดิน ที่ตั้งในจังหวัดใกล้บ้านของท่าน นะครับ...
http://mynessbuild.blogspot.com/2014/10/blog-post_29.html

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ภาค2 บอกเล่าวิธีปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย


ภาค2 บอกเล่าวิธีปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย
-มะละกอพันธุ์ครั่ง เป็นมะละกอดิบหรือส้มตำพันธุ์ใหม่ที่ใช้ยาฆ่าแมลงและใช้เครื่องพ่นยาน้อย และที่มีผู้รายงานข่าวทำข่าวกันมากจนทำให้เกษตรกรปลูกกันเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยชูข้อดีตรงที่เนื้อกรอบ หอม อร่อย หลังเก็บจากต้นแล้ว สดอยู่ได้นานกว่าพันธุ์อื่น 5-6 วันก็ยังไม่เหี่ยว และบอกว่าทนทานไวรัสจุดวงแหวนได้ดี(อันนี้จริงเปล่าไม่รู้) แต่ข้อบกพร่องก็คือ ผลมีร่องทำให้เวลาปอกเปลือก เปลือกสีเขียวจะติดอยู่ในร่องนั้น ขูดเส้นยาก ตอนนี้เริ่มมีปัญหาด้านตลาดแต่ผู้วิจัยก็ยังเพิ่งเปิดตัวครั่งพันธุ์ใหม่เนื้อเหลืองไปเมื่อเดือนที่แล้วอีกซึ่งครั่งเนื้อเหลืองจะทำให้เส้นส้มตำน่าทานมากขึ้น ผู้สื่อข่าวประโคมข่าวอีกเช่นเดิมแต่ปัญหาร่องที่ผลจะทำให้แม่ค้ายอมรับได้แค่ไหนต้องเกาะติดกันต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พูดคุยการปลูกมะละกอพันธุ์แบบไหนดีจึงจะมีตลาดขาย


พูดคุยการปลูกมะละกอพันธุ์แบบไหนดีจึงจะมีตลาดขาย
จริงๆไม่ได้คิดที่จะเขียนบทความเรื่องนี้เลย เพราะคิดไม่คิดค่ะ แต่เมื่อวานมีคนเข้ามาถามในlineให้ช่วยหาตลาดมะละกอแขกดำให้หน่อย อย่างเช่นผมปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง เรดแคริเบี้ยนขายที่ไหนดี ทำให้คิดว่าเรามองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ เพราะชีวิตอยู่แต่กับมะละกอฮอลแลนด์ เลยไม่ได้มองพันธุ์อื่น
- มะละกอฮอลแลนด์ คือพันธุ์ที่เป็นที่ดึงดูดและน่าลงทุนที่สุด เพราะเป็นพันธุ์มะละกอกินสุกที่นิยมที่สุดและใช้เครื่องพ่นยาน้อยที่สุด ตลาดกว้างไกล แม่ค้ารับซื้อเยอะที่สุด ส่วนที่ตกเกรดหรือเป็นโรคก็ยังทำการค้าเข้าโรงงานได้ ราคามะละกอจะยืนพื้นจากสวน 8-10 บาท/กก. ราคาขายส่งอยู่ที่ 15-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 20-35 บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. ด้วยเหตุที่เป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงสูงกว่้าพันธุ์อื่นๆ มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตค่อนข้างน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. พ่อค้าแม่ค้าที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับทรัพย์ก้อนโตได้เลย มีเงินทองเหลือเฟือไปซื้อเครื่องมือการเกษตรเยอะเลยคะ
-มะละกอแขกดำ เคยเป็นมะละกอกินสุกที่ครองตลาดในอดีต แต่วันนี้ล้าสมัยของแขกดำในตลาดกินสุกไปแล้ว แขกดำจึงเป็นมะกอที่หาที่ขายไม่เจอ ไม่รู้จะอยู่แหล่งไหนไหน กินสุกก็ได้แต่ก็สู้ฮอลแลนด์ไม่ได้ ตลาดไทมีแผงมะละกอ 100 แผง แต่มีเพียง 2 แผงที่ขายแขกดำและปริมาณการขายก็ไม่มาก แต่ในตลาดกินดิบหรือส้มตำ แขกดำก็ไปได้แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าแขกนวลที่มีคุณสมบัติดีกว่า
-มะละกอแขกนวล ถือป็นมะละกอกินดิบที่ครองตลาด เพราะเป็นมะละกอที่เนื้อกรอบ อร่อย แม่ค้าส้มตำชอบ อีกทั้งยังเป็นมะกอที่ติดดก ผลโตมากๆ มะละกอกินดิบมีจุดเด่นตรงที่เก็บเกี่ยวเร็ว 5 เดือนก็เก็บขายได้แล้ว จากนั้นจะเก็บกันทุก 15-20 วัน (ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 20-25 ตัน ในพื้นที่ปลูกประมาณ 10 ไร่) มะละกอดิบดูแลจัดการง่ายกว่ามะละกอสุกเยอะ ไม่ต้องห่อผล ไม่ต้องระมัดระวังมากตอนเก็บ เก็บเสร็จแพ็คใส่ถุงพลาสติกถุงละ 10 กก.เก็บขึ้นรถขายได้เลย แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 4-5 บาท ตลอดทั้งปี ช่วงราคาถูกก็อยู่ที่ 2 บาทค่ะ แทบไม่คุ้มค่าขนส่งเลยค่ะ
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ ติดตามในบทความต่อไปนะคะ...

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการเพาะเมล็ด/และเคล็ดลับการปลูกพริก


เทคนิคการเพาะเมล็ด/และเคล็ดลับการปลูกพริก
เท่าที่ได้เมล็ดพันธุ์พริกมาแล้ว ให้นำไปแช่น้ำร้อน ถ้าหญ้าเริ่มยาวให้ใช้เครื่องตัดหญ้า หลังจากนั้นใช้น้ำร้อนเทลงไปในภาชนะก่อน 1 ส่วนและตามด้วยน้ำเย็นอีก 1 ส่วน ทดสอบโดยมือจุ่มลงไปพอมือเราทนได้ ก็ใช้ได้หรือประเมิน 50  องศา แช่ไว้ราว 30 นาที ต่อไปนำไปห่อในผ้าขาวบาง บ่มไว้ 1 คืนแล้วนำเมล็ดไปเพาะได้ โดยบ่มไว้ในกระติกน้ำร้อนก็ได้ ใช้ถ้วยคว่ำแล้วเอาเมล็ดพริกวางบนถ้วยที่คว่ำไว้ เพื่อไม่เมล็ดพริกแช่น้ำที่เราพ่นใส่เมล็ดพริกที่บ่ม เมล็ด พริกจะได้ไม่เน่าไปซะก่อนครับ

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เกษตรอินทรีย์ : ช่องทางใหม่ของเกษตรกรไทย

เกษตรอินทรีย์ : ช่องทางใหม่ของเกษตรกรไทย

การทำเกษตรกรรมของไทยมักพบปัญหาการขาดทุนตามที่เครื่องปั่นไฟราคาสูงขึ้น ซึ่งหนึ่งในต้นเหตุของปัญหานี้เกิดจากรายจ่ายในการจัดซื้อสารเคมีจำนวนมาก มาใช้เพื่อเร่งผลผลิต อย่างไรก็ตาม หากผลผลิตที่ได้มีราคาตกต่ำ การขาดทุนก็ยังคงมีอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น ในช่วงปัจจุบันกระแสการดูแลรักษาสุขภาพของประชากรโลกเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยและปราศจากสารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้เกษตรกรหลายรายจึงคิดหาวิธีการทำเกษตรกรรม แนวใหม่ เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) โดยใช้เครื่องปั่นไฟมือสองเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและได้ผลผลิตที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยการพยายามประยุกต์ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการใช้ปัจจัยการผลิตภายนอกและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งวิธีการทำเกษตรแนวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
เกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย
สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Agriculture : IFOM) ให้คำนิยามของเกษตรอินทรีย์ว่าเป็น “ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใยด้วยความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน้นแผนการปรับปรุงบำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศการเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอาจลดปัจจัยการผลิตภายนอก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่นปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ และในขณะเดียวกันก็มุมานะประยุกต์ใช้ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิตและพัฒนาความต้านทานโรคของพืชและสัตว์เลี้ยง” หลักการเกษตรอินทรีย์จึงเป็นหลักการสากลที่สอดคล้องกับข้อตกลงทางเศรษฐกิจ สังคม ภูมิอากาศและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เนื่องจากก่อให้เกิดผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน มีหลักการของการอยู่ร่วมกันและพึ่งพิงธรรมชาติทั้งบนดินและใต้ดิน ใช้วัตถุปัจจัยการผลิตอย่างเห็นคุณค่า และมีการอนุรักษ์ให้อยู่อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบเป็นองค์รวมและความสมดุลที่เกิดจากความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศทั้งระบบ
ภาครัฐและเอกชนไทยเริ่มตื่นตัวที่จะพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยเช่นเครื่องพ่นยา ให้มีคุณภาพและปราศจากสารพิษตกค้าง หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรของไทยเริ่มสำรวจคุณภาพ สินค้าอย่างเข้มงวด เนื่องจากพบว่ามีสารเคมีปนเปื้อน ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียให้กับภาคเกษตรอย่างมาก ทางภาครัฐจึงรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแบ่งการผลิตได้เป็น 2 แบบ คือ
1. เกษตรอินทรีย์แบบพื้นบ้าน ผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก และมีการนำผลผลิตบางส่วนไปค้าในตลาดท้องถิ่น แต่ผลผลิตนี้จะไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
2. เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เป็นการทำการเกษตรเพื่อซื้อขายผ่านทางระบบตลาด และหากตรารับรองมาตรฐานทัดเทียมกับมาตรฐานจากต่างประเทศ จะทำให้ผลผลิตสามารถส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ด้วย เกษตรอินทรีย์ของไทยยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มแรก กลุ่มผู้ทำการเกษตรอินทรีย์ยังมีโควตาจำกัด ผู้ประกอบการและ ผู้ผลิตที่สำคัญได้แก่ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่ทำงานร่วมกับสหกรณ์กรีนเนท จำกัด และมูลนิธิสายใยแผ่นดิน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 55.89 ของเกษตรกรที่ทำการผลิตเกษตรอินทรีย์ และมีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.14 ของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั้งหมดภายในประเทศ เป็นที่สังเกตว่า บริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรสัดส่วนใหญ่ที่เป็นหน่วยงานของภาคเอกชน ซึ่งดำเนินกิจการสินค้าเกษตรเคมีอยู่เดิม เริ่มเข้ามามีบทบาทในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอุตสาหกรรมเป็นหลัก เนื่องจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยเป็นการผลิตแบบง่ายๆ ไม่ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ผลผลิตที่ได้ก็เป็นสินค้าพื้นฐาน เช่น ข้าว ผักและผลไม้ ส่วนการแปรรูปสินค้ายังมีน้อย เพราะวัตถุดิบมีปริมาณไม่มาก ยุคปัจจุบันมีผลผลิตที่จำหน่ายออกสู่ตลาดประมาณไม่เกิน 6,000 ตันต่อปี สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้แก่ ข้าว กล้วยหอม หน่อไม้ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว สับประรด ขิง และสมุนไพรอีกหลายชนิด ตลาดเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยยังเป็นตลาดของผู้ผลิตคือ การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีจำนวนน้อย ผู้ผลิตสามารถเป็นผู้กำหนดการตลาดได้ค่อนข้างมาก ราคาผลผลิตก็มีแนวโน้มสูงกว่าราคาสินค้าเกษตรทั่วไปประมาณร้อยละ 20-50 การที่ระดับราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีส่วนแบ่งการผลิตต่ำกว่าความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่เนื่องจากเกษตรอินทรีย์จะต้องมีหลักประกันในเรื่องราคาผลผลิตที่ยุติธรรม ต่อผู้ผลิต จึงทำให้ต้นทุนการผลิตเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างสูงกว่าการผลิตทั่วไป อย่างไรก็ดีมีการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคจะยอมรับราคาผลผลิตที่สูงไม่เกินร้อยละ15-20

เกษตรอินทรีย์ในตลาดโลก
ประจุบันสินค้าเกษตรอินทรีย์เช่นเครื่องตัดหญ้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ทั้งนี้จากผลการตรวจตราของศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ พบว่า ความต้องการสินค้าในปี 2541 สูงถึง 13,000 ล้านดอลลาร์สรอ. และในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สรอ. อัตราการขยายตัวของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยเฉลี่ยในแต่ละปีสูงถึงร้อยละ 20
ในปี 2546 มูลค่าการค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 1-2 ของตลาดอาหารทั้งหมด และมีการคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5-10 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ประเทศที่มีการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างสูงได้แก่ ประเทศในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะตลาดเยอรมนี มีมูลค่าถึง 2,800-3,100 ล้านดอลลาร์สรอ. ในขณะที่สวิตเซอร์แลนด์มีสัดส่วนของอาหารเกษตรอินทรีย์ใน ตลาดอาหารสูงสุด คือ ร้อยละ 3.2-3.7 ส่วนอาหารเกษตรอินทรีย์ที่นิยมบริโภคได้แก่ กาแฟ ข้าว ชา ผักและผลไม้
หากแม้ขณะนี้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะมีนโยบายสนับสนุนการผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ แต่กำลังการผลิตก็ยังไม่สามารถขยายตัวได้ทันกับความต้องการ เช่น ฝรั่งเศสที่เป็นประเทศผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่การผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์เพียงร้อยละ 0.3 ของพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด ส่วนปริมาณการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ของสหราชอาณาจักรมีมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สรอ. ต้องนำเข้าถึงร้อยละ 60-70 ของปริมาณการบริโภคทั้งหมด ดังนั้นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าเกษตรจึงหันมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อการค้า ถึงกว่า 100 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยประเทศในแอฟริกา 27 ประเทศ เอเชีย 18 ประเทศ อเมริกาใต้ 25 ประเทศนอกเหนือจากประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ทั้งนี้ประเทศที่กำลังงอกงามจะเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าประเภทกาแฟ ข้าว ชา สมุนไพร ผัก และผลไม้ ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทปศุสัตว์และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนใหญ่
ทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทย

แม้ว่าตลาดเกษตรอินทรีย์จัดว่าเป็นตลาดใหม่สำหรับเกษตรกรไทย แต่ด้วยแนวโน้มของตลาดที่เติบโตขึ้นเป็นลำดับ จากการที่ผู้บริโภคต้องการสินค้ามากขึ้น ทั้งนี้เพราะความใส่ใจในด้านสุขภาพ ขณะที่ผู้ผลิตมีจำนวนจำกัด การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ออกสู่ตลาดของเกษตรกรไทยจึงเป็นหนทางที่สดใสกว่าที่ไทย จะยังคงผลิตสินค้าเกษตรวีโกเทคทั่วไปแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือเวียดนาม ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยมาก การปรับเปลี่ยนมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ย่อมจะทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความได้เปรียบทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และ ภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นประเทศผู้ประกอบการและส่งออกอาหารที่สำคัญ จึงย่อมมีโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพให้เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของ โลกได้ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เพียงใดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การสร้างความเข้าใจและความรู้ให้แก่เกษตรกร การให้บริการตรวจสอบรับรองหลักเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ เป็นต้น จึงนับได้ว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทย ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรและอาหารของประเทศ ในขณะเดียวกันจะช่วยเสริมให้โครงการ Food Safety ของรัฐบาลประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น และมีผลดีต่อเนื่องในด้านคุณภาพชีวิตของเกษตรกรจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเกิดประโยชน์ทางอ้อมต่อสังคมและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในที่สุด

ทำยังไงกับการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษ

ทำยังไงกับการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษ
  เป็นการปลูกผักไว้กินเองในครอบครัว โดยไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงและวัชพืช  ซึ่งในสมัยปัจจุบันผักที่วางขายตามท้องตลาดมีสารเคมีตกค้างค่อนข้างมาก  ทำให้เป็นพิษภัยต่อผู้บริโภค   การปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักปลูกพืชผักไว้รับประทานเองจะช่วยประหยัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ในครอบครัวสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวง
             สมัยนี้สภาพปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคอย่างมาก  รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย   ผู้ปกครองไปรับจ้างต่างจังหวัดทิ้งลูกอยู่บ้านกับตายายรอรับเงินช่วงสิ้นเดือน   ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เด็กไม่รู้จักวิธีการทำงาน  วิธีเพิ่มรายได้ในครอบครัว
กิจกรรมการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษในโรงเรียนจะทำให้ผู้เรียนได้เรียนวิธีการปลูกการดูแลรักษาโดยไม่ใช้สารเคมี  เป็นกิจกรรมที่เด็กนักเรียนสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้านได้
          จังหวัดสุรินทร์   มีพื้นที่ที่เหมาะในการปลูกพืชผักได้ตลอดปี   สภาพดินบริเวณแปลงเกษตรเป็นดินเหนียวเพราะนำดินที่ขุดจากสระมาถมพื้นที่แปลงเกษตร   ได้ปรับปรุงแก้ไขโดยใส่แกลบสดแกลบเผา  ปุ๋ยคอก  ปุ๋ยหมัก  สภาพของดินดีขึ้น   ในช่วงหน้าฝนปลุกข้าวโพด   มะเขือ   ถั่ว    ปลายฤดูฝนปลูกพืชผักตามฤดูกาล   นักเรียนที่ปฏิบัติการปลูก   ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่   5  ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่   3   โดยแบ่งแปลงให้แต่ละชั้นรับผิดชอบ
        ในการทำงานทำการปลูกในช่วงฤดูฝนให้นักศึกษาชั้น   ม. 1 - 3  ลงปฏิบัติ   ส่วนชั้น  ป. 5 - 6   ลงปฏิบัติช่วงปลายฤดูฝน   ขณะลงปฏิบัติงานให้ครูประจำชั้นช่วยควบคุมดูแลโดยแบ่งให้รับผิดชอบแปลงละ   2 - 3   คน  ปลูกผักหมุนเวียนตลอดปีการศึกษา
       กิจกรรมการปลูกสวนครัวปลอดสารพิษฝึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบ  มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  รู้จักช่วยเหลือเพื่อน    มีความรู้ความเข้าใจวิธีการปลูกผักปลอดสารพิษ  รู้จักใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นให้เกิดคุณประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้านได้
   การปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษทำให้ชีวิตปลอดภัยจากสารเคมี  ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว   ผู้เรียนสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้านเป็นแบบอย่างในที่ส่วนรวมได้
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชผัก เพื่อให้ได้ผลผลิตพืชผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ ควรใช้หลาย ๆ วิธี ผสมผสานกัน ทั้งวิธีกล การใช้สารชีวินทรีย์ สารธรรมชาติ และสารเคมีร่วมกันในการป้องกันกำจัดควบคู่กันไปกับการจัดการที่ดี

การเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรเก็บในระยะที่มีอายุแก่เหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของพืชผัก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณค่าทางอาหาร รสชาติ และรูปพรรณรูปร่าง สีสัน ความสุกเหมาะสมและดีที่สุด เมื่อถึงมือผู้บริโภค การเก็บเกี่ยวควรทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้เกิดร้อยช้ำ รอยขีดข่วน เพื่อรักษาคุณภาพให้ดีที่สุด การสูญเสียของพืชผักหลังการเก็บเกี่ยวมีสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำบลอากาศร้อนของประเทศไทย ผักกินใบเป็นผักที่เน่าเสียได้ง่าย โดยเฉพาะหากในระหว่างเก็บเกี่ยวผักมีการ บอบช้ำ ฉีกขาด หรือเป็นแผลจากการเก็บเกี่ยว และการขนย้ายที่ไม่ดีทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เข้าทำลายง่ายดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการสูญเสียของพืชผักควรต้องมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสมทั้งก่อนการเก็บเกี่ยว และหลังการเก็บเกี่ยว
การรักษาคุณภาพผลผลิตพืชผักเบื้องต้นในแปลงหลังการเก็บเกี่ยวแล้ว ต้องรีบนำเข้าที่ร่ม อย่าให้ตากแดด แล้วรีบร้อนระบายความร้อนภายในผลผลิตลง โดยการแผ่ออก อย่าวางสุมทับซ้อนกัน